วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

ขับรถไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เอง ไม่มีครั้งแรก ก็ไม่มีประสบการณ์ :)

😉ตามที่เคยบอก ว่าจะเล่าให้ฟังถึงการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่โดยการขับรถไปเอง ครั้งแรกของเรา
ว่าตามจริง เราเคยไปมาแล้วล่ะ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เนี่ย ไปมา 2 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยขับรถไปเอง เนื่องจากยังขับรถไม่เป็น ไม่มีใบขับขี่ และยังไม่มีเพื่อนที่จะไปด้วยกัน   

เแต่การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้เรามีเพื่อนร่วมทางเราเป็นพี่ๆ และเพื่อนในที่ทำงานที่อยากไปพักผ่อนด้วยกัน เราจัดการจองบ้านพักอุทยานโซนทิวทัศน์ จองผ่านหน้าเวบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช http://nps.dnp.go.th/ ได้เป็นบ้านพัก 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคา 2,000 บาท แล้วจัดการชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทยก็เป็นอันว่าเรียบร้อย

ทั้งนี้เราบอกสมาชิกในทีมแล้วว่า เราจะพาไปด้วยรถกระบะของเรา และเราเป็นผู้ขับ ซึ่งจะพาขึ้นเขาเป็นครั้งแรกนะ ok มั้ย พวกนางบอก ok ไม่มีปัญหา..อิอิ ตามนั้น รอเดินทางกันได้เลย

วันเดินทางของเรา คือ เสาร์ที่ 16 กค. 59 นัดพี่ๆ มานั่งรอป้ายรถเมล์แถวบ้าน แล้วแวะรับพวกนาง มุ่งตรงไปยังเขาใหญ่ทันที ขับรถไปเองสนุกดี พูดคุยกันไปด้วยระหว่างทาง ขำๆ ...ช่วงแรกๆ ที่เราเริ่มขับรถเป็น เราไม่สามารถคุยกับใครได้เลยนะ เพราะต้องใช้สมาธิขั้นสูงในการบังคับพวงมาลัยและดูเส้นทาง แต่ตอนนี้สบายแล้ว  ......เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจากกรุงเทพถึงเขาใหญ่ เนื่องจากเราหลงเข้าไปใน อำเภออะไรสักแห่ง แล้วต้องหาทางออกเพื่อลัดไปถนนธนะรัชต์ แล้วขึ้นเขาใหญ่ ที่ด่านปากช่อง  และไม่นานเราก็ถึงที่หมาย เสียค่าเข้าคนละ 20 บาท ค่ารถสี่ล้อ อีก 50 บาท

เราแวะไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่กันก่อน ซึ่งห่างจากด่านเขาใหญ่ประมาณ 200 เมตร ซึ่งอยู่ทางขวามือของเรา ..ประวัติของท่านนั้น สามารถหาอ่านได้จากเวบไซค์เลยนะค่ะ หรือถ้าจะให้ดีไปยืนอ่านหน้าศาลจะดีกว่า จะได้ไปสัมผัสธรรมชาติที่นั่นด้วย

หน้าศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
เสร็จแล้วเราก็สตาร์ทรถอีกครั้ง บิดกุญแจ ขับขึ้นเขาใหญ่กันเลย..รัดเข็มขัดให้ดีเด้อสาวๆ

เราค่อยๆ ออกตัว แล้วไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ พอถึงทางโค้งก็ค่อยๆ แตะเบรคแล้วเลี้ยวดีๆ ซึ่งใช้สมาธิพอสมควร เพราะหากวอกแวกหรือหันไปคุยกับเพื่อนนี่นะ อาจมีหลุดโค้งได้เลย..
สมาชิกในรถทุกคนนั่งกันเงียบกริบ ไม่ค่อยมีใครคุยกันเลย ระหว่างนี้ เหมือนทุกคนก็ใช้สมาธิไปด้วย ..ขำดี

เราผ่านโค้งมาหลายโค้ง มีทั้งชันและไม่ชัน โค้งหักศอกก็มี สำหรับเราแล้วที่เรากลัวคือ เวลาที่มีรถสวนมาแต่ละคันเค้าขับกันเร็วมาก ทั้งที่อุทยานกำหนดให้ขับบนเขาความเร็วไม่เกิน 60  แต่เค้าก็ยังคงขับเร็ว บางคันก็กินเลนเข้ามาเยอะ ทำให้เรารู้สึกว่าอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ ไม่เฉพาะกับผู้ใช้ถนนด้วยกัน และยังหมายรวมถึงเหล่าสัตว์ป่านานาชนิดที่อาจวิ่งข้ามถนน หรือเดินเล่นอยู่ตามทาง ซึ่งเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการขับรถทับ ขับรถชนสัตว์ป่าบนเขาใหญ่..แต่นักซิ่งตีนผีเหล่านั้นก็มิได้พึงสังวร

ถึงแม้จะมีรถขับมาตามหลังเราหลายคัน และหลายครั้งที่พวกเขาพยายามจะแซงเรา แต่ไม่มีโอกาส เนื่องจากทางบนเขานั้นมีโค้งตลอดเส้นทาง และมีรถสวนมากระทันหัน แต่เราหาได้สนใจไม่ เราคิดว่าการที่มาท่องเที่ยวแบบนี้ คุณจะรีบไปไหนกันหรือ คุณไม่ได้มาชื่นชม ดื่มด่ำกลิ่นอายธรรมชาติหรอกหรือ ถึงได้รีบร้อนกันนัก ...แต่ก็นะ เค้าอาจจะรีบไปลงด่านฝั่งเนินหอม ทางนครนายกก็ได้ เพราะรถหลายคันใช้ถนนธนะรัชต์ที่ตัดผ่านบนเขาใหญ่นี้ เป็นทางผ่านเพื่อไปลงอีกด่าน เรียกว่าด่านชนด่าน(แต่ก็ไม่ควรรีบมากไปแบบนี้ มันอันตราย)

และแล้วเราก็มาถึงจุดนี้..ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ อุณภูมิก็ 24.7 องศา เย็นๆ สบายๆ เราติดต่อรับกุญแจห้องพัก มีค่ามัดจำกุญแจ 500 บาท พร้อมจองรถส่องสัตว์ด้วย รอบ 2 ทุ่ม แบบเหมาคันละ 500 บาท ทางเจ้าหน้าที่จะมารับที่หน้าที่พักค่ะ (ยิ่งไปหลายคนยิ่งหารกันถูกลง)
ปล. รอบส่องสัตว์ มี 2 รอบนะค่ะ 1 ทุ่ม และ 2 ทุ่ม

เราแวะทักทายน้องกวางตัวใหญ่ ซึ่งจะมีเดินเล่นอยู่ทั่วไปบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กวางเหล่านี้คุ้นชินกับคนและรถ เค้าชอบมาหาอาหารกิน คุ้ยขยะ นักท่องเที่ยวบางคนชอบยื่นอาหารให้ ทำให้เค้าติดใจในรสชาดของอาหารที่ไม่ควรเป็นอาหารของเค้า กวางหลายตัวกินถุงพลาสติก ห่อขนม ทำให้อุดตันทางเดินอาหาร แล้วเสียชีวิตในที่สุด จึงไม่ควรอย่างยิ่งนะค่ะ หากไปเที่ยวในแหล่งธรรมชาติ ไม่ต้องให้อาหารสัตว์ป่า เพราะเค้ามีอาหารการกินของเค้าอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วในป่าค่ะ
อากาศเย็นๆ สบายๆ


มาถึงแล้วนะเออ




ก่อกวน กวางกำลังจะงีบ












แอร๊ !มาถ่ายไรตูหว้า



ไม่กลัวกวางเลยนิ
 ไม่นานมีพี่ที่ดูท่าทางจะเป็นไกด์ บอกว่า อย่าเข้าใกล้กวางแบบนั้น เดี๋ยวก็โดนกวางดีดหรอก อันตราย ดีดแล้วดีดแรงนะ คางเหลืองเลยนะจะบอกให้
พวกเราเลยรีบเก็บภาพความประทับใจแล้วไปเดินเล่นน้ำตกกองแก้วซึ่งอยู่ด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวกันต่อ ซึ่งเราต้องเดินข้ามสะพานไม้ แล้วเดินเข้าสู่ป่าลัดเลาะไปเจอกับน้ำตกกองแก้ว ทางนั้นเป็นทางที่เจ้าหน้าที่ปูหิน ปูซีเมนซ์ไว้ให้แล้ว เดินสบาย แต่หลายกิโลอยู่ เล่นเอาเหนื่อยหอบกันเลย ..ธรรมชาติตามทางเดินนั้นชุ่มฉ่ำ อุดมสมบูรณ์มาก เพื่อนเราตะโกนบอก มาดูบุ้งตัวใหญ่ สีแดง ขนยาวเหมือนหมาชิสุ แถมใส่รองเท้าสีขาวอีกต่างหาก โอ๊ยๆๆน่ากลัว กลุ่มฝรั่งที่เดินไปก่อนหน้าตะลึงกับเจ้าบุ้งตัวนี้มาก ยกกล้องถ่ายภาพ ยกให้นางเป็นนางแบบประจำป่าไปเลย

เริ่มเมื่อยล่ะ เดินมาไกลล่ะ
เรามาถึงน้ำตกกองแก้ว โอ้โห โอโซนในป่ามันช่างสดชื่น ฉ่ำปอดเสียจริง มันชุมชื่นอย่างบอกไม่ถูก นี่แหละโอโซนธรรมชาติล่ะ เสร็จแล้วเราก็เดินออกจากป่า แต่ทว่า...เราก็เจอเรื่องขำๆ เดินขึ้นมาจากน้ำตกกองแก้วก็เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้ว นี่เค้าหลอกให้เราเดินอ้อมใช่มั้ยเนี่ย!! 555+ จริงๆ เราเดินเข้าตรงทางออกก็จบแล้ว สั้นๆ แต่เค้าคงอยากให้เราได้สำรวจธรรมชาติแหละ...ขำจริง
วันนี้วันหวยออก เพื่อนร่วมทางกังวลอยู่กับตัวเลขตลอดเวลา
เสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อไปที่พักกัน ซึ่งห่างจากศูนย์บริการไม่มาก ขับตรงขึ้นไปเจอป้อมยามซ้ายมือ ก็เลี้ยวเข้าไปทันที ระหว่างทางจะเป้นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ลานจอดรถโล่งๆ  ผ่านบ้านพักค่ายสุรัสวดี แต่สองข้างทางยังคงเป็นป่าอยู่นะค่ะ ...บ้านพักของเราอยู่หลังสุดท้ายเลย บ้านพัก206 โซนทิวทัศน์ ธรรมชาติมากๆ เราจัดแจงสำรวจห้อง แล้วเพื่อนเราก็บอกว่ามีนกเงือกมาเกาะต้นไม้หน้าบ้าน เราเลยรีบออกไปดู พร้อมหยิบกล้องถ่ายรูปไปด้วย









บ้านพักก็โอเค
มีกระโจมนั่งเล่น

นกเงือกมาเกาะต้นไม้หน้าบ้านเลย ดูสิธรรมชาติแค่ไหน
โชคดีที่ได้เห้นค่ะ



Love เลย
โลกนี้เป็นของเรา








บรรยากาศเงียบสงบดีมาก เพราะอยู่ในโซนลึกสักหน่อย และเป็นหลังสุดท้าย(มั้ง) เท่าที่เห็นมา ...แต่ดีใจจริงๆนะ ได้เจอนกเงือกแบบใกล้ชิดขนาดนี้
เรานั่งรอเจ้าหน้าที่มารับไปส่องสัตว์ 1 ทุ่ม 45 นาทีก็มารับแล้ว อากาศบนเขาเย็นมากๆ รถส่องสัตว์เป็นรถกระบะ เปิดหลังคา มีราวเหล็กกั้นมีที่นั่ง สบายๆ เจ้าหน้าที่ก็ส่องไฟฉายกำลังสูงไปตามต้นไม้ หากแสงไฟส่องไปโดนดวงตาของสัตว์จะสะท้อนให้เราเห็นวาวๆ เราก็จะรู้ว่าสัตว์ตัวนี้อยู่ตรงนี้นะ และเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายว่า นี่คือสัตว์ชนิดไหน กินอะไรเป็นอาหาร เป็นต้น

เราอยากเห็นช้างมากเลย ไม่ใช่ไม่เคยเห็น ไม่ใช่ไม่รู้จัก แต่อยากเห็นเค้าบนเขาใหญ่ ในอุทยาน ในเวลาค่ำคืนแบบนี้บ้าง ....สรุปก็ได้เห็นจริงๆ ยืนกินใบไม้อยู่ไกลๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตัวเค้ามีโคลนขาวๆ พอกไว้เต็มตัวเลย...น้องเจ้าหน้าที่บอกว่า พวกเราโชคดีที่ได้เห็นช้างคืนนี้ ...........รถแล่นไปช้าๆ แต่เริ่มเปลี่ยนจากความเย็นเป็นความหนาวแล้ว หนาวจนปากสั่น นี่ขนาดใส่เสื้อกันหนาวนะเนี่ย 55  ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ส่งกลับที่พัก...

ตอนเช้าเราจัดการ check-out แล้วไปถ่ายรูปกันที่อ่างเก็บน้ำสายศร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางไปบ้านพัก แวะขึ้นไปน้ำตกเหวสุวัต ซึ่งทางไปน้ำตกนั้น โค้งหักศอกมีหลายโค้งเลย แต่เราขับขึ้นมาได้ถือว่า ok.





ริมอ่างเก็บน้ำ
และแวะขึ้นไปน้ำตกเหวสุวัต ซึ่งทางไปน้ำตกนั้น โค้งหักศอกมีหลายโค้งเลยทีเดียว แต่เราก็ดั้นด้นขับขึ้นมาได้ถือว่า ok. น้ำตกก็สวยดีค่ะ

ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก
ยืนใกล้ๆ เย็นสบายแบบบอกไม่ถูก

เห้อ!!ได้เวลากลับแล้ว ทริปนี้เราสนุกมาก เนื่องจากได้ขับรถเองตะลอนๆ อยู่บนเขา ถึงแม้จะไม่ได้ไปทุกที่ เช่น ผาเดียวดาย น้ำตกเจตคต ยอดเขาเขียว ฯลฯ แต่เราก็ภูมิใจในตัวเองที่ขับรถอย่างมีสติ รักษาชีวิตเพื่อนร่วมทริป และกลับถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัย

อ่อ..ขากลับเราแวะ ไร่สุวรรณ และทานเสต็กกันที่ Daily Home อร่อยใช้ได้
และเพื่อคลายข้อสงสัย ขากลับเราถามเพื่อนร่วมทาง ทำไมนั่งเงียบกันจังเลย ตอนขึ้นเขา ทำไรกันอยู่ ..พวกนางบอกว่า พวกพี่หาที่จับกันอยู่ มือหนึ่งเกาะประตู มือหนึ่งจิกเบาะ พร้อมกลั้นหายใจ ...กลัวไม่ได้กลับบ้าน 55+(แต่ยังไงก็ขอบคุณพวกนางที่ไว้ใจเรา โดยไม่ห่วงชีวิตตัวเอง)

การขับรถขึ้นเขาใหญ่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแต่ใช้สติ คำนึงถึงถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นที่ใช้ทางร่วมกัน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ และสำคัญต้องไม่ขับรถเร็วบนเขาค่ะ ...
หากใจไม่กล้าตั้งแต่ครั้งแรก แล้วจะมีได้อย่างไรเล่า คำว่า"ประสบการณ์"





----------------------------------------------------------------
Good memory Good experience

@ Khao Yai Trip : 16-17 July 2016

เหมียวลาย



วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

Columbia Trail Masters Episode XII เขาอีโต้ ปราจีนบุรี

Columbia Trail Masters Episode XII ( Kao Ito Prachinburi)

หลังจากจบงานวิ่งเทรลเขาใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว(2016) ซึ่งเป็นงานสุดท้ายของปีและของเรา มาปีนี้เรามุ่งมั่นตั้งใจว่าจะลงให้ได้อย่างน้อย 5 งาน (ปี2016 ได้ 4 งาน) เราหวังลึกๆ ในใจว่าเราจะแกร่งขึ้น อึดขึ้น ทนและถึกขึ้นมากกว่านี้ เพราะเราจะลงสมัครระยะที่เพิ่มขึ้น คือ 25km. ในงานของ Columbia Trail ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 นี้


เราได้ยินชื่องาน Columbia มาสักพัก เค้าว่าเป็นงานวิ่งเทรลที่ยอดเยี่ยม ผู้จัดเป็น Professional และสินค้า อุปกรณ์การวิ่งของ Columbia ก็เป็นระดับนานาชาติ เราจึงรองานนี้มาสักพัก พอเปิดสมัครปุ๊บเราก็ไม่รีรอ ทำการสมัครทันที ค่าสมัคร 1,200 บาท สำหรับระยะ 25 km. สถานที่อ่างเก็บน้ำจักรพงษ์ ปราจีนบุรี-นครนายก

งานนี้เราตัดสินใจซื้อรองเท้าเทรลโดยเฉพาะ โดยเราเลือก Altra เป็นรองเท้าเทรลคู่แรกในชีวิต (สัญญากับเจ้า Reebok คู่เก่งไว้ว่าจะไม่พาลงสนามเทรลอีกแล้ว)โดยเราไปวนดูที่ Shop Emporium มาครั้งหนึ่ง แล้วถูกใจรุ่น Lone Peak 3.0 รุ่นใหม่ล่าสุด สีชมพู ลายๆ สวยมาก ใส่แล้วเบาสุดๆ ที่สำคัญรองเท้าแบรนด์นี้มีดีสำหรับคนเท้าบานๆอย่างเรา กล่าวคือ รองเท้าเค้าออกแบบมาให้มีพื้นที่หน้าเท้ากว้างให้นิ้วไม่เบียดกัน ใส่สบาย นิ้วขยับได้ ว่างั้น...และเป็นรองเท้าแบบ Zero Drop  ซึ่งพื้นรองเท้าจะเสมอกันไม่สูง ไม่ต่ำ เหมือนรองเท้าวิ่งทั่วไป กล่าวคือ ความสูงที่ส้นเท้าจะเท่ากับหน้าเท้า และเราอาจจะต้องปรับท่าวิ่งไปตามรูปแบบรองเท้าด้วยเช่นเดียวกัน ราคาห้าพันกว่าๆ แต่ก็ตัดใจจะเอา 55 เพราะเรามีปัญหาเรื่องนิ้วเบียด ฮ่อเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วทำไมล่ะ เราถึงจะไม่เลือกรองเท้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของเรา เพื่อแก้ปัญหากวนใจนี้ออกไป

ลองเข้าเวบของ Altra ดูอีกที เอ๊ะนี่!!รุ่นอื่นก็มี เป็นรุ่นเก่าลด 50% เป็นรุ่น Superior 2.0 ไม่แพง น่าจะดีเหมือนกัน เอาเป็นว่าหน้าเท้ากว้างเป็นพอ เลยสั่งออนไลน์โดยตรง แต่ปรากฏว่า ตอนส่งมาให้เรา ทาง Altra Thailand ส่งมาให้ผิดรุ่น กลับส่งรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งยังไม่เปิดตัวมาให้ ราคาเท่ากับ Lone Peak ที่ไปดูมาที่ shop มา แล้วด้วยความซื่อสัตย์ของเรา ก็แจ้งเค้าว่าส่งมาผิด แต่เห็นแล้วต้องชะตา ไม่ขอส่งคืนล่ะกัน ขอเพิ่มเงินแทน สรุปได้ของแพงเหมือนเดิม เลี่ยงไงก็เจอ..



Altra Superior 3.0 (Women)
ไม่แค่รองเท้าน่ะสิ เรายังหาซื้อเป้น้ำมาอีก 1 ใบ กะว่างานนี้วิ่งระยะมากขึ้น อุปกรณ์เหล่านี้มันเริ่มที่จะจำเป็นขึ้นมาแล้วล่ะ แล้วจัดมาแบบราคาไม่แรง เอาที่ใช้งานได้ดีก็พอ ..เบี้ยน้อยหอยน้อยต้องค่อยเป็นค่อยไป^^

เราใส่รองเท้าคู่นี้ฝึกวิ่งอยู่กับที่ในบ้าน วันละเกือบ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ชินกับเท้า หากจะเอาไปวิ่งข้างนอกตามสวน มันก็หนึบมากตอนวิ่งกับพื้นถนน แบบว่าพื้นมันเกาะดิน ทรายดี แต่เกาะพื้นถนนแล้วหนึบเกินไป ก็เค้าออกแบบมาสำหรับเทรลนี้เนอะ

พอใกล้วันเดินทาง ทาง Columbia แจ้งว่าขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่จัดงานจากอ่างเก็บน้ำจักรพงษ์ มาเป็น กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 เขาอีโต้ ซึ่งไม่ไกลกันมาก ....
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ เราออกเดินทางมาถึงกรมทหาร ค่ายเค้ากว้างมากๆ จอดรถได้หลายร้อยคัน และเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบทหารๆ ดีจัง เป็นระบบระเบียบดี ...อากาศร้อนมาก รีบรับ BIB  รับเสื้อ นั่งดื่มกาแฟในงาน มองโน่น มองนี่ ได้สอยรองเท้าลำลองมาอีกคู่เฉยเลย สักพักก็กลับที่พัก


ดูไม่เป็นหรอก ความชัน ความไม่ชัน ชี้ไปงั้น


25 Km. เบาๆ (เหรอ)
 
คืนก่อนวันจะวิ่ง เรานอนดึก 00:00 เห็นจะได้ ตื่นมาตี 3 เลยไม่ค่อยสดใส รู้สึกอึนๆ อ่อยๆ แปลกๆ ..แต่ก็มิได้นำพา ลุกมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมความพร้อมกับเสื้อผ้า หน้าและของที่จะพกใส่เป้ไปเพิ่มพลังระหว่างทางวิ่ง ...............เราไปถึงงานตี5 เนื่องจากระยะ 25km. ปล่อยตัว 6:30 เช้า จึงได้warm ร่างกายได้ค่อนข้างเต็มที่ เพราะหากยืดเหยียดกล้ามเนื้อได้ไม่เพียงพอ อาการบาดเจ็บก็จะตามมาแน่นอน(เคยมีประสบการณ์แล้วนิ เลยไม่อยากเสี่ยงอีก)
 
06:30 เสียงแตรดัง ทำเราหึกเหิมอีกครั้ง เราวิ่งชลอๆ เบาๆ ออกจากจุด start โดยมีกำลังใจจากหนุ่มข้างกายที่มาด้วย ยืนอยู่ข้างสนาม ซึ่งเป็นงานแรกเลยนะที่เค้ายอมมากับเรา เพียงเพราะเราหวังให้เค้ารู้สึกอยากวิ่งบ้างเมื่อเห็นบรรยากาศงานวิ่ง แต่...ก็มิได้นำพา :( 
 
เราวิ่งผ่านบ้านพักข้าราชการทหาร ผ่านลานกว้างๆ โล่งๆ ผ่านอาคารต่างๆ ภายในค่าย แล้ววิ่งเข้าสู่โซนธรรมชาติที่เรียกว่าป่า และวิ่งขึ้นไปบนเขาอีโต้  เราkm.ที่ 5 เราวิ่งผ่านจุดให้น้ำจุดแรกไป เพราะยังไม่หิวน้ำ (จุดให้น้ำมีทุก 5km.) ช่วง10 km แรก เราใช้เวลา ประมาณ 50 นาที ถือว่าใช้ได้ แต่หลังจากนี้ อาการล้าเริ่มมาบ้างแล้ว พอ km.ที่11 เป็นต้นไป การขึ้นเขามันยากขึ้นมาทันที แม่เจ้าปะคุณเอ้ย!! ช่วงแรก เราวิ่งขึ้นนะ แต่ยิ่งวิ่งก็ไม่มีจุดสิ้นสุด แหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน โอีย!! จะต้องขึ้นไแต่หลังจากนี้ อาการล้าเริ่มมาบ้างแล้ว เราวิ่งผ่านจุดให้น้ำจุดแรกไป เพราะยังไม่หิวน้ำ (จุดให้น้ำมีทุก 5km.) พอ km.ที่11 เป็นต้นไป เริ่มวิ่งขึ้นเขา แม่เจ้าปะคุณเอ้ย!! ตอนขึ้นเขาช่วงแรก เราวิ่งขึ้นนะแบบว่าโชว์ให้เห็นว่าฉันนี่ฟิตนะ แกร่งนะ แต่สักพักเดินขึ้นล่ะ เพราะยิ่งวิ่งก็ไม่มีจุดสิ้นสุด พึมพำกับตัวเอง ว่าจะถึงจุดพักตอนไหนว่ะ มันทั้งชันทั้งสูง แหงนหน้ามองขึ้นไป ยิ่งหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ซึ่งต่างจากเขาประทับช้างเลยล่ะ คนละแบบเลย เขาอีโต้มันแบบเป็นทางดินชันๆ ขึ้นไปสูงๆ ทางไม่กว้างมาก วิ่งขึ้นได้ทีละคน  มีหินให้เหยียบปีนขึ้นไปเรื่อยๆ นักวิ่งขาแรงหลายคนถึงกับยืนกอดต้นไม้ไว้เลย เพื่อทำสมาธิและหายใจให้เต็มปอดก่อนจะไต่ไปให้ถึงยอดเขา เอาเป็นว่าปีนจนปวดขาเลยทีเดียว แต่โดยรวมแล้วสนุกดีนะ เราว่า....
 
พอวิ่งเข้าสู่ km ที่15 ได้ยินวิทยุสื่อสารเจ้าหน้าที่ ว่ามีนักวิ่งขอ DNF (Did Not Finish) ไม่รู้แปลถูกป่าวนะ รู้แต่ว่าขอออกจากการแข่งขัน คิดว่าคงวิ่งขึ้นเขาไม่ไหวแน่ๆ เพราะเห็นเพื่อนร่วมทาง2-3 คน ยืนขาแข็ง แล้วอุทานแรงๆ ว่า โห้ย!!ไม่ไหวว่ะ ไม่ไหวแล้วเนี่ย คือหน้าพี่เค้าก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ อ่ะน่ะ
 
เราได้ยินดังนั้น เลยตั้งใจไม่ขอร่วม DNF กับเค้า เจ็บยังไงก็ขอเข้าเส้นชัยให้ได้ล่ะกัน
Cr. ShutterRunning นี่ไง ขาเริ่มก้าวไม่ออกแล้ว
 
 เรารับน้ำเกลือ ในจุดให้น้ำที่ 2 และรับทุกจุดหลังจากนั้น เกลือแร่สีเขียว สีฟ้า สีแดง ดื่มหมด แถมเบิ้ลไปอีก กรอกใส่ขวดไปดื่มระหว่างทางอีก ทั้งหมด 4 ขวดที่ดื่มไป ผลคือ ......... มือตัวเอง บวม แดง ขาก็บวม เท้าบวม ไอ้หยา!! มีเกลือแร่ในร่างกายมากไป แย่แล้วเรา อย่างนี้หน้าก็บวมด้วยสิ ตาย ตาย! เราจะเข้ากล้องแล้วนิ หน้าบวมไม่สวยสิ (ไม่ได้ห่วงร่างกายเท่าไหร่!! ห่วงสวยล้วนๆ)
หน้าบวมแล้ว หนักขาด้วย
 
ระหว่างวิ่งเราก็นึกในใจ ว่านักวิ่งคนอื่นในระยะเรา เค้าเข้าเส้นชัยกันไปแล้วกี่คนหว่า เราจะเป็นคนที่เท่าไหร่นะ แต่คงไม่ใช่คนสุดท้ายแน่นนอน เพราะเห็นนักวิ่งด้านหลังในระยะเดียวกันยังมีอยู่หลายคน เอาว่ะ!! ไปให้ถึง ภาวนาว่า เข่าจ๋าอย่าเพิ่งเจ็บ

อ่อ..เราลองซื้อที่รัดเข่าเพื่อกันการบาดเจ็บมาใช้ด้วย (เห็นเค้าใช้กันเยอะ) แต่ใส่ด้านขวาด้านเดียว เนื่องจากเราไม่เคยใช้เลยซื้อมาทดลอง 1 ข้าง ผลคือ ดี เลยทีเดียว เราไม่มีอาการเจ็บจี๊ดเลยในขาข้างนั้น แต่เริ่มเจ็บข้างซ้ายแทน(ข้างที่ไม่ได้ใส่) ตอนวิ่งสไลด์ตัวลงเขาระยะไกล (คิดได้ไงนะแก ซื้อมาข้างเดียว แกไม่ได้มีขา 2 ข้างเหมือนชาวบ้านเค้าเรอะ - -")

สนามนี้ รากไม้ ตอไม้เยอะมากๆ วิ่งสนามนี้ต้องมีสมาธิจับจ้องที่ทางให้ดี ไม่งั้นมีสะดุดหน้าแหก เหมือนพี่นักวิ่งชายคนข้างหลังเรา เค้าหันไปคุยกับเพื่อนแบบเดียว ล้มกลิ้งเลย ดูแล้วตอไม้เหล่านี้นี้ เป็นตอไม้ที่เจ้าหน้าที่เค้ามาตัด ถางออก เพื่อใช้เป็นทางเดิน ทางวิ่ง ซึ่งมีอยู่ตลอดเส้นทาง เอาเป็นว่ารองเท้า Altra เราที่ว่าทนๆ พื้นบิ่นไปพอสมควรเลยแหละ

อยู่ต่อหน้ากล้อง ต้องใส่ feeling super power

 
ใกล้ถึงแล้วๆ วิ่งเลาะๆ ทางถนนในค่ายมา แล้ววิ่งเข้ามาในป่าอีกครั้ง ข้างในจะเห็นเป็นฐานฝึกของค่าย มีเชือกปีนป่าย เป็นสะพาน ระโยงระยาง คล้ายๆ กับฐานฝึกลูกเสือ ตอนสมัยเรียนยังงั้นล่ะ... ข้างหน้าเรามีสามสาวฟิลิปปินส์คุยภาษาตากาล็อกกันตลอดทาง ตั้งแต่ตอนเริ่ม start มาแล้ว แต่ตอนนี้พวกนางเดินเอาแล้ว เพราะเพื่อนนางคนนึงเจ็บขา เดินได้อย่างเดียว อ่ะ งั้นเราขอแซงไปก่อนล่ะนะ บ๊ายยยยย...

จากนั้นเราก็ค่อยๆ วิ่งเยาะๆ เรียบอ่างน้ำในค่าย แล้ววิ่งเข้าสู่เส้นชัยอย่างสวยงาม โดยมีหนุ่มยืนให้กำลังใจอยู่ที่ปลายทาง
เรารู้สึกดีมากกับการวิ่งเข้าเส้นชัยครั้งนี้ เพราะหน้าเราไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่ และขายังมีแรงวิ่งได้อยู่ สภาพเราตอนก้าวเข้าเส้นชัยดูดีกว่าทุกครั้งจริงๆ
25 KM. สำเร็จแล้ว
 
Race Result
 
งานนี้เราดีใจ ที่ Overall เราได้เป็นลำดับครึ่งหนึ่งพอดี ของนักวิ่งชายหญิงทั้งหมด และได้ในระดับที่ไม่ขี้เหร่นักในรุ่นอายุ และเพศ มันทำให้เราอยากพัฒนาตนเองให้ได้ดีกว่านี้ในครั้งหน้า
 


Happy Race Day

งานนี้เราได้ประสบการณ์ที่ดี ความสนุก ฝึกความอดทน และค้นพบว่า การเพิ่มระยะอีก 4 km. ก็ไม่ได้จะทำให้เราเหนื่อยมากกว่าที่่คิดเท่าไหร่ เพราะเราคิดว่าเราเลือกอุปกรณ์มาช่วย support ได้ดี เช่นครั้งนี้เราไม่ได้ใส่รัดน่อง แต่อุปกรณ์รัดเข่าที่มีอันเดียวนี้(- -") ก็ช่วยเราไม่ให้บาดเจ็บได้เยอะเลย และ ...รองเท้าเทรลคู่ใหม่นี้ มีประโยชน์มากในเรื่องหน้าเท้าที่กว้างของเรา นิ้วไม่บวม ไม่ฮ่อเลือด ไม่เจ็บ เหมือนทุกครั้ง ดีงามพระราม 6^^ส่วนเป้น้ำ เราไม่ได้ใส่ถุงน้ำ แต่ใช้แค่ขวดน้ำขวดเดียว อีกข้างใส่มือถือแทน ..แต่งานหน้ากะว่าจะใช้ถุงน้ำด้วยแล้วล่ะ



Event  :  Columbia Trail Masters Episode XII
Date    :  26 February 2017
Place   :  Kao Ito(Prachinburi-Nakorn Nayok)
Finished Time : 4:38 hrs.


งานหน้าเจอกันเขาประทับช้างเทรล 2017 เดือนมิ.ย นี้(ลงวิ่งระยะเดิม เพิ่มเติมคือวิ่งคนเดียว)

BYE...
















วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

Tiger Balm Khao Yai Trail 2016 สนามเทรลอีกแบบ ที่น่าลอง


😄Hi!
เมื่อเดือนตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา เราเสาะแสวงหางานวิ่งเทรลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก เนื่องจากเราติดใจการวิ่งผจญภัยในป่าขึ้นมา ตอนนี้ก็มองหาแต่งานวิ่งเทรล ที่ไหนจัด ไม่ไกลมากเราจะไป จนเราได้มาเจองานวิ่งของ "Tiger Balm Khao Yai Trail 2016"

ซึ่งจัดขึ้น ณ เสมอดาวรีสอร์ทเขาใหญ่ ทราบมาว่ารีสอร์ทนี้เป็นสถานที่พักผ่อนและไว้สำหรับจัดคอร์สล้างพิษตับเพื่อสุขภาพด้วย ...เราจึงจัดการชวนคุณเพื่อนเจ้าเก่าไปวิ่งงานนี้กัน เพราะเรายังรู้สึกว่านางยังติดใจวิ่งเทรลเหมือนเราอยู่ ..เมื่อนาง say yes เราจึงจัดการทำการสมัคร ชำระเงิน และจองที่พักเป็นรีสอร์ทที่ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานวิ่งเท่าไหร่นัก แค่ประมาณ 9 กิโล และเราตกลงว่าจะขับรถไปกันเอง สบายๆ หิวไหนแวะนั่น

และแล้วก็ถึงวันเดินทาง เราออกเดินทางกันวันเสาร์ที่ 01 ตุลาคม แอบขับหลงจากบ้านไปประชาชื่น แต่เอ๊ะ ทางมันเชื่อมกันไปออกดอนเมืองได้นี่นา ..เป็นสาวกรุงเทพแท้ๆ แต่ไม่ชินเส้นทาง เพราะเพิ่งจะขับรถเป็นได้ปีกว่าๆ เท่านั้นเอง แต่กระดี๊กระด๊าจะออกต่างจังหวัดแล้ว..คริ คริ ..หุ หุ

ขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝั่งปากช่อง แล้วเลี้ยวไปทางวังน้ำเขียว เพื่อไปต่อยังเสมอดาวรีสอร์ท (จริงๆ เราเคยขับไปเขาใหญ่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่ขึ้นเขาไปกางเตนท์นอน ซึ่งจะเล่าในบล็อคหน้า กับการขับรถขึ้นเขาใหญ่ครั้งแรกของเรา) ..และเราก็มาถึงเสมอดาวประมาณ 14:30 น. ฝนตกเพิ่งจะหยุด สถานที่ภายในรีสอร์ทเป็นลานกว้าง มองเห็นภูเขาโดยรอบ อากาศหลังฝนตกดีเว่อร์จริงๆ ..จากนั้นเราก็จัดแจงลงทะเบียน รับเสื้อ รับ BIB กันให้เรียบร้อย ยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ  selfie กันก็เตรียมตัวไปต่อยังที่พักซึ่งคาดว่าไม่ไกลนัก




แวะดื่มกาแฟที่ Amazon ตรงถนนธนะรัชต์
เสมอดาวรีสอร์ท กว้างมาก
แล้วเราก็ขับรถมาเรื่อยๆ ผ่านรีสอร์ทโน่น นี่ นั่น มากมาย จนมาถึงรีสอร์ทที่เราจองไว้(ขอโทษ จำชื่อรีสอร์ทไม่ได้)  แต่ที่พักเค้ามีหลายหลังมาก และวินาทีนี้มีแต่นักวิ่งงานนี้ทั้งนั้นที่มาจองห้องพัก
ห้องกว้างดี เฟอร์นิเจอร์ธรรมดาทั่วไป
ห้องน้ำก็ใช้ได้

จองมาแบบ King bed แต่ได้แบบ twin bed

เราจัดการ Dinner กัน 2 คน ใต้แสงนีออน ด้วยไก่ย่าง ข้าวเหนียว พุทรานมสด น้ำผลไม้ที่เตรียมมา บลา บลา..... แล้วเข้านอนกัน 3 ทุ่มและหลับปุ๋ยเพราะเพลียจากการเดินทาง  ฝนตกตั้งแต่ 1 ทุ่มและตกหนักทั้งคืนไม่หยุด จนกระทั่งตี 3 กว่าๆ ถึงหยุด และรู้เลยว่าพรุ่งนี้หนทางวิ่งของเราต้องเต็มไปด้วยโคลนเละๆ อย่างแน่นอน^^(พี่ที่รีสอร์ทบอกว่าฝนตกหนักแบบนี้มา 3-4วันแล้ว)

ตี 3 นาฬิกาปลุกดัง จึงรีบตื่นอาบน้ำเสร็จมานั่งกินของว่างต่อ นั่งรอให้ปวดท้องนั่งห้องน้ำ ซึ่งมักจะถ่ายไม่ออกทุกครั้งที่มาพักต่างจังหวัดแปลกที่แบบนี้..และนี่คืออุปสรรคของเรา 2 คน และเชื่อว่าหลายคนก็เป็นกันใช่มั้ยค่ะ ...ตี 4 แล้วยังไม่ปวดถ่าย ก็ช่างมัน ป่ะ เราออกเดินทางไปที่งานกันได้แล้ว เดี๋ยวไม่มีที่จอดรถ ........เราขับรถออกมาเปิดไฟตัดหมอกตลอดทาง หมอกหนามากจนมองไม่เห็นทาง และเราก็สายตาสั้น ก็เลยค่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงที่บริเวณงาน แล้วเข้ามาจอดด้านใน มีนักวิ่งหนุ่ม 2 คนยืนอยู่ช่วยโบกรถให้ นี่ก็ถอยหน้าถอยหลัง จอดไม่ได้สักที ทั้งที่รถต่อหลังก็ไม่มี..จนพี่ 2 หนุ่มนักวิ่งคงเริ่มเซ็งล่ะ อายจัง55

เรา warm ร่างกายกันเบาๆ เนื่องจากกลัวจะจุกท้องเพราะทานมาอิ่ม และอาการ ณ ตอนนั้นเย็นแบบมีน้ำค้าง หมอกอย่างหนา พื้นหญ้าเปียกแฉะ เลยไม่ได้ warm อะไรเยอะ....จากนั้นเรารอเวลาปล่อยตัว อ่อ ลืมบอก เรากับเพื่อนลงกันคนละระยะ เพื่อนลง 10km. เราลง 21km.เหมือนเดิม และงานนี้เรายังคงใส่รองเท้าวิ่งถนนมาวิ่งเทรลอีกตามเคย เนื่องจากเรายังไม่อยากลงทุนซื้อรองเท้าเทรลที่ราคาค่อนข้างเอาเรื่อง และเราอยากให้แน่ใจอีกสักครั้งว่าเราชอบเทรลจริงๆ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที
หมอกปกคลุม บวก ความสดชื่น



แต่งตัวเป็นป้ามากๆ กระเป๋าคาดเอวเหมือนไม่ได้มาวิ่ง เหมือนมาขายของ 555 ขำตัวเอง
 เราถูกปล่อยตัววิ่ง ก่อนเพื่อนเรา และเป็นครั้งแรกที่เราวิ่งแยกกันคนละระยะ ตื่นเต้นดีที่ต้องวิ่งไปคนเดียว แต่เห็นนักวิ่งหลายคนเค้าก็มาวิ่งคนเดียวเยอะแยะเลย ก็ไม่แปลกหรอกที่เราจะไปคนเดียวบ้าง เพราะอีกหน่อยเราอาจต้องมาคนเดียว..เราวิ่งมาเรื่อยๆ บนถนนลาดยาง แล้ววิ่งออกจากรีสอร์ทหายเข้าไปในทางดินซึ่งเป็นพื้นที่ทำไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด ของชาวบ้านทั้งนั้น ตลอดสองข้างทางนั้นมีความร่มรื่น แสงแดดลอดลงมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มองไปเห็นภูเขาเรียงราย หมอกลงคลุมภูเขาทุกลูก พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นเต็มดวงในอีกไม่กี่นาทีนี้ เป็นภาพที่สวยงามมากๆ มันคือภาพในจินตนาการของเรา ซึ่งไม่คิดว่า วันหนึ่งเราจะได้มายืนอยู่ต่อหน้าภาพนั้น..นี่ไงข้อดีของการวิ่งเทรล คุณจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ในที่ที่คุณไม่มีโอกาสจะเดินเข้ามาสัมผัสใกล้ชิดแบบนี้

นักวิ่งหลายคนอดใจไม่ไหวกับภาพอันงดงาม ซึ่งธรรมชาติเสกสรรมาให้เห็นเป็นบุญตา จึงหยิบกล้องมา selfie กันสนุกสนาน ไอ้เราก็อยากถ่ายบ้างนะ แต่แบบว่าขอเก็บไว้ในความทรงจำดีกว่า (จริงแล้วไม่มีคนถ่ายให้ selfie เองไม่ค่อยเก่ง)......ทางที่วิ่งนั้น เกือบตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยโคลน ต้องวิ่งลุยโคลนกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรียกได้ว่าหยุบหยับๆ ตึ๋งหนืด รองเท้านี่หมดสภาพความเป็นรองเท้าวิ่งถนนเลยล่ะ(ใครให้แกเอารองเท้าถนนมาวิ่ง ห๊า!!)

ตลอดทางจะได้กลิ่นหญ้าเน่าที่ทับถมกันตามทางเดิน ทางวิ่ง เมื่อหญ้าที่มีอยู่ตามไหล่ทางผสมกับโคลนและน้ำ มันเลยเน่าเหม็นไง55 ..สนามนี้ไม่มีเขาให้ปีนเหมือนที่เขาประทับช้าง ราชบุรี ทางวิ่งจะเป็นทางดินกว้างประมาณรถกระบะคันใหญ่วิ่งสวนกันได้ มีเนินให้วิ่งก็เป็นช่วงๆ ทำเอาล้าต้นขามากเหมือนกัน มีลำธารไหลผ่านเล็กๆ(ย้ำว่า เล็กๆๆ) ให้ข้ามผ่านจนรองเท้าเปียกยันถุงเท้าข้างใน วิ่งไปมันแห้งเองเฉยเลย....



ถ่ายรูปส่ง line หาเพื่อน บอกว่ายังอยู่ดีสบาย รอเราหน่อยนะ หาข้าวกินไปก่อน

วิ่งมาถึงแค่ km. ที่8 ก็เห็นนักวิ่งขาแรงกลับตัวมาแล้ว โอ่ว!! สุดยอดค่ะ ทั้งต่างชาติ ทั้งพี่ไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก
คือ เค้าแข็งแรง และแกร่งกันจริงๆ เรายังวิ่งจ๊อกๆ อยู่เลย เค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว เค้าทำไงกันนะ ทำไมเค้าเก่งกันจัง....เราต้องพัฒนาให้ได้แบบเค้าแล้ว เราต้องขยันซ้อม ต้องหาเทคนิค ต้องไม่วิ่งเรื่อยเปื่อยเหนื่อยก็พักแบบนี้อีกในงานหน้า (คิดในใจคนเดียว) ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาวิ่งมาเรื่อยๆ อาการเจ็บเข่าเริ่มมาอีกแล้ว ตอนถึง km.ที่ 15 เลยพยุงร่างกายไว้ ไม่ฝืนวิ่งเร็วๆ ไม่อยากโดนปฐมพยาบาล  คราวนี้เดินอย่างเดียวเลยค่ะ นึกได้หยิบมือถือมา live สด ขำๆ เดินไปเรื่อยๆ แบบเร็วๆ จนใกล้ถึงเส้นชัย ....และกำลังจะเข้าสนาม คราวนี้เราฝืนวิ่ง กัดฝัน Acting ว่าฉันวิ่งมานะย่ะ ไม่ได้เดินมาสักหน่อย....มีนักวิ่งชายวิ่งนำหน้าเรา 2-3 คน เราวิ่งตามหลังมา ...เราคิดว่าพอเข้าเส้นชัย เจ้าหน้าที่จัดงานที่นั่งอยู่เรียงรายเต็มงาน จะต้องปรบมือให้กำลังใจนักวิ่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยเวลานี้เป็นแน่ แต่ป่าวเลยค่ะ เราวิ่งเข้าเส้นชัยมาห่างจากนักวิ่งชายเพียง ไม่กี่ก้าว เราไม่ได้ยินเสียงปรบมือ หรือเสียงแสดงความยินดีใดๆ แม้แต่เสียงเดียวจากเจ้าหน้าที่ผู้จัดงานเลย (นึกภาพแบบว่าวิ่งเข้ามาพร้อมเปิดsound จิ้งหรีดกินน้ำค้างน่ะค่ะ) ทุกคนนั่งก้นติดเก้าอี้ นั่งมองนักวิ่งวิ่งเข้าเส้นชัยเฉยๆ เราพูดเลย เราไม่ประทับใจงานนี้เท่าไหร่ ซึ่งไม่เหมือนงานอื่นที่เราเคยไปร่วม ที่แม้คุณจะเข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายหรือคนแรก เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ยังรอยืนปรบมือให้คุณอยู่ เหมือนว่าคุณเป็นนักวิ่งคนสำคัญคนหนึ่งของงาน




ยกขาไม่ไหวแล้ว



มี time slip ให้ด้วย
Finisher




รัดน่องคู่เดิม เพิ่มเติมคือประสบการณ์




ขอบใจมากรองเท้าเพื่อนยาก งานหน้าจะไม่พามาลุยโคลนแบบนี้อีกแล้วนะ

สรุปงานนี้เราไม่มีอุปกรณ์วิ่งอะไรเพิ่มเติมจากงานที่แล้ว นอกจากใจที่มีความอยากลองสนามใหม่ๆเพิ่มขึ้น เรารู้สึกสนุกกับการวิ่งทุกครั้งเมื่อได้ออกมาวิ่งที่ต่างจังหวัด มันทำให้เราได้เที่ยวและได้สุขภาพไปในตัว แม้ไม่ได้แวะสถานที่ท่องเที่ยวใดๆ แต่เราได้โอโซนดีๆ เย็นๆ จากธรรมชาติแบบนี้ ก็พอใจแล้ว


Event  :  Tiger Balm Khao Yai Trail Series 2016
Date    :  02 October 2016
Place   :  Sameur Dao Resort, Khao Yai
Finished Time : 3:39 hrs.


ติดตามกันบล็อคหน้านะค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
เหมียวลาย